12.1 การบูรณาการ
ลักษณะการบูรณาการ
1. การบูรณาการเชิงเนื้อหาสาระ เป็นการผสมผสานเชื่อมโยงเนื้อหาสาระ ในลักษณะการหลอมรวมกันโดยการตั้งเป็นหน่วย ( Unit ) หรือหัวเรื่อง ( Theme )
2. การบูรณาการเชิงวิธีการ เป็นการผสมผสานวิธีการสอนแบบต่าง ๆ เข้าในการสอน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่หลากหลายวิธี การสนทนา การอภิปราย การใช้คำถาม การบรรยาย การค้นคว้าและการทำงานกลุ่ม การไปศึกษานอกห้องเรียน และการนำเสนอข้อมูลเป็นต้น
3. การบูรณาการความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ โดยออกแบบการเรียนรู้ให้มีทั้งการให้ความรู้และกระบวนการไปพร้อม ๆ กัน เช่น กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา และ กระบวนการสร้างความคิดรวบยอดเป็นต้น
4. การบูรณาการความรู้ ความคิด กับคุณธรรม โดยเน้นทั้งพุทธิพิสัยและจิตพิสัยเป็นการเรียนที่สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมไปพร้อม ๆ กัน เพื่อที่นักเรียนจะได้เป็น “ผู้มีความรู้ คู่คุณธรรม ”
5. การบูรณาการความรู้กับการปฏิบัติ เน้นการปฏิบัติจริง ควบคู่ไปพร้อมๆ กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
6. การบูรณาการความรู้ในโรงเรียนกับชีวิตจริงของนักเรียน พยายามให้เด็กได้เรียนรู้เนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้เห็นคุณค่าและความหมายในสิ่งที่เรียน (สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์. 2546: 25)
รูปแบบการบูรณาการ
การบูรณาการหลักสูตรสามารถทําได้หลายรูปแบบ ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันไป และเหมาะสม กับระดับชั้นต่างๆ กันไป Fogarty ได้เสนอรูปแบบการบูรณาการหลักสูตร ที่น่าสนใจไว้ 10 แบบ ดังนี้คือ
1. Cellular หรือ Fragmented เป็นรูปแบบการบูรณาการ เนื้อหาสาระภายในวิชาเดียวกัน โดยสัมพันธ์ต่อเนื่องกันในลักษณะ ของการเรียงลําดับหัวข้อตามความเหมาะสม เช่น เรียงจากเรื่องที่ง่าย ไปหายาก เรื่องที่มีความซับซ้อนน้อยไปหาเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น หรือเรียงจากเรื่องที่เป็นพื้นฐานไปหาเรื่องที่สัมพันธ์ต่อเนื่องกัน และกว้างขวางขึ้น ในการสอนจะสอนตามหัวข้อที่กําหนด เมื่อจบ หัวข้อหนึ่งก็ขึ้นหัวข้อใหม่ต่อไป
2. Connected เป็นรูปแบบการบูรณาการเนื้อหาสาระ ภายในเนื้อหาของแต่ละวิชาเช่นเดียวกัน แต่ในการสอนมีการเชื่อมโยง หัวข้อหรือ ความคิดรวบยอดถึงกัน เชื่อมโยงความคิดต่างๆ ให้ สัมพันธ์กัน ทําให้เห็นความต่อเนื่องหรือเกี่ยวข้องกันของเนื้อหาที่เรียน ในหัวข้อต่าง ๆ เช่น หัวข้อร่างกายของฉัน และอาหารที่มีประโยชน์ ในการสอน 2 หัวข้อนี้สามารถเชื่อมโยงให้เห็นว่าร่างกายต้องการอาหาร เพราะอะไร และอาหารมีความจําเป็นต่อคนอย่างไร เป็นต้น
3. Nested เป็นรูปแบบการบูรณาการเนื้อหาสาระ ภายในวิชาเดียวกันอีกรูปแบบหนึ่งแต่เพิ่มความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน มากขึ้น คือ การบูรณาการทักษะหลาย ๆ ทักษะเข้าด้วยกันในการ รวมเป็นเป้าหมายหลักของหัวข้อ เช่น หัวข้ออาหารที่มีประโยชน์ ครูนําทักษะต่าง ๆ มาบูรณาการสอนหัวข้อนี้ได้หลายทักษะ ได้แก่ ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการคาดเดา ทักษะการตัดสินใจ ทักษะ การคิด ทักษะทางสังคม ทักษะการจัดข้อมูล โดยตั้งประเด็นปัญหา หรือคําถามขึ้นแล้วให้นักเรียนนําทักษะเหล่านี้ไปฝึกคิด อภิปราย และหาคําตอบ
4. Sequenced รูปแบบนี้เริ่มเป็นการบูรณาการ ระหว่าง 2 วิชา รูปแบบที่สามารถทําได้ง่าย โดยการนําหน่วยการ เรียนรู้ที่ใช้สอนกันอยู่มาพิจารณาความคิดรวบยอด ทักษะหรือ เจตคติของหน่วยใดคล้ายกันบ้างให้นํามาเชื่อมโยงบูรณาการกัน ซึ่งทั้ง 2 วิชายังสอนแยกกันอยู่ แต่สอนในเวลาเดียวกัน ดังนั้น ต้องมีการจัดลําดับการสอนหัวข้อเรื่องหรือหน่วยการเรียนต่าง ๆ ใหม่ เพื่อจะได้สอนในช่วงเวลาเดียวกันได้ อาจมีการปรับกิจกรรม การเรียนการสอนให้ชัดเจนขึ้นแล้ววางแผนว่าจะสอนในช่วงเวลาใด
5. Shared เป็นการบูรณาการระหว่าง 2 วิชา โดยเนื้อหาสาระที่สอนนั้นมีสาระความรู้ หรือความคิดรวบยอด ที่คาบเกี่ยวกันอยู่ส่วนหนึ่ง ในการบูรณาการรูปแบบนี้ ต้องมี การวางแผนร่วมกัน สอนร่วมกันในส่วนที่คาบเกี่ยวกัน โดยอาจ จัดเป็นหัวข้อร่วมกัน หรือทําโครงงานร่วมกัน และอีกส่วนหนึ่ง ที่ไม่ได้คาบเกี่ยวกันนั้นครูก็สอนแยกกันไปตามปกติ
6. Webbed เป็นรูปแบบการบูรณาการระหว่าง วิชาหลายวิชา มีลักษณะเป็นการกําหนดหัวข้อเรื่อง (theme) ขึ้นมา แล้วเชื่อมโยงไปสู่วิชาต่างๆ ว่ามีประเด็นหรือเนื้อหาสาระใดที่เห็น ว่ามีความสัมพันธ์กัน คล้ายคลึงกัน หรือต่อเนื่องกัน ที่จะสามารถ นํามาจัดรวมเป็นหัวข้อเรื่องเดียวกัน เพื่อที่จะได้สอนรวมกันไป อย่างกลมกลืนได้ ในการบูรณาการรูปแบบนี้จะบูรณาการกี่วิชา ก็ได้ ขึ้นอยู่กับประเด็นเนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอด หรือทักษะ ส่วนเนื้อหาสาระใดของวิชาใดไม่สามารถนํามาบูรณาการกันได้ ก็ให้สอนตามปกติ
7. Threaded เป็นรูปแบบการบูรณาการที่ใช้ทักษะ ใดทักษะหนึ่งที่ต้องการฝึกเป็นหลัก เช่น ทักษะการคาดเดา ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการวิเคราะห์ แล้วกําหนดเนื้อหา ตลอดจนจัดการเรียนการสอนในแต่ละรายวิชา ให้สัมพันธ์กับ ทักษะที่กําหนด ซึ่งจะเป็นกี่วิชาก็ได้
8. Integrated เป็นการจัดหลักสูตรบูรณาการ แบบสหวิทยาการ ที่นําเอาความรู้ ความคิดรวบยอด หรือทักษะ ที่เหลื่อมล้ํากันอยู่ของวิชาต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทย ศิลปศึกษา มาวางแผนจัดสอนร่วมกันเป็น ทีม การบูรณาการแบบนี้เป็นการช่วยสร้างความเข้าใจ และความ ซาบซึ้งระหว่างวิชาต่าง ๆ ให้กับผู้เรียน
9. Immersed เป็นรูปแบบบูรณาการที่นักเรียนได้ เรียนรู้เนื้อหาสาระในวิชาต่างๆ และมีความสนใจในเนื้อหาวิชา ด้านใดด้านหนึ่ง แล้วนักเรียนใช้ความรู้เนื้อหานั้นในการศึกษา ค้นคว้า ซึ่งเปรียบเหมือนการใช้แว่นขยายประสบการณ์ของตนเอง สร้างประสบการณ์ให้กับตนเอง โดยในการหาประสบการณ์ นั้นนักเรียนอาจจะต้องบูรณาการข้อมูลที่เรียนรู้ทั้งหมดมาใช้
10. Networked เป็นรูปแบบบูรณาการที่ กลั่นกรองความรู้ที่มิใช่จากการศึกษาค้นคว้าของนักเรียน เพียงอย่างเดียว แต่นักเรียนจะได้เรียนรู้จากครู ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งการใช้เครือข่ายการเรียนรู้ เรียนรู้ทั้ง ภายในสาชาวิชาและนอกสาขาวิชา แล้วเชื่อมโยงความรู้ เข้ารวมด้วยกันทั้งหมดเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิด ขยายออกไปเป็นแนวทางใหม่
รูปแบบของการบูรณาการ (Models of Integration)
รูปแบบของการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการมี 4 รูปแบบ คือ
1. การสอนบูรณาการแบบสอดแทรก (Infusion Instruction) การสอนรูปแบบนี้ครูผู้สอนในวิชาหนึ่งสอดแทรกเนื้อหาของวิชาอื่น ๆ เข้าไปในการสอนของตน เป็นการวางแผนการสอนและสอนโดยครูเพียงคนเดียว
2. การสอนบูรณาการแบบขนาน (Parallel Instruction) การสอนตามรูปแบบนี้ ครูตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปสอนต่างวิชากัน ต่างคนต่างสอนแต่ต้องวางแผนการสอนร่วมกันโดยมุ่งสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาเดียวกัน (Theme/concept/problem) ระบุสิ่งที่ร่วมกันและตัดสินในร่วมกันว่าจะสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหานั้นๆ อย่างไรในวิชาของแต่ละคน งานหรือการบ้านที่มอบหมายให้นักเรียนทำจะแตกต่างกันไปในแต่ละวิชา แต่ทั้งหมดจะต้องมีหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาร่วมกัน
3. การสอนบูรณาการแบบสหวิทยาการ (Multidisciplinary Instruction) ขนาน (Parallel Instruction) กล่าวคือครูตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปสอนต่างวิชากัน มุ่งสอนหัวเรื่อง ความคิดรวบยอด/ปัญหาเดียวกันต่างคนต่างแยกกันสอนเป็นส่วนใหญ่ แต่มีการมอบหมายงาน หรือโครงการ (Project) ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงสาขาวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ครูทุกคนจะต้องวางแผนร่วมกันเพื่อที่จะระบุว่าจะสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหานั้น ๆ ในแต่ละวิชาอย่างไร และวางแผนสร้างโครงการร่วมกัน(หรือกำหนดงานจะมอบหมายให้นักเรียนทำร่วมกัน) และกำหนดว่าจะแบ่งโครงการนั้นออกเป็นโครงการย่อย ๆ ให้นักเรียนปฏิบัติแต่ละรายวิชาอย่างไร
อนึ่ง พึงเข้าใจว่าคำว่า “โครงการ” นี้มีความหมายเดียวกันกับคำว่า “โครงงาน” มาจากภาษาอังกฤษคำเดียวกันคือ “Project” หลายท่านอาจคุ้นกับคำว่า โครงงาน มากกว่า เช่น “โครงงานวิทยาศาสตร์” ซึ่งก็อาจเรียกว่า “โครงการวิทยาศาสตร์” ได้เช่นเดียวกัน
4. การสอนบูรณาการแบบข้ามวิชาหรือเป็นคณะ (Transdisciplinary Instrction) การสอนตามรูปแบบนี้ครูที่สอนวิชาต่าง ๆ จะร่วมกันสอนเป็นคณะหรือเป็นทีม ร่วมกันวางแผน ปรึกษาหารือ และกำหนดหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาร่วมกัน แล้วร่วมกันดำเนินการสอนนักเรียนกลุ่มเดียวกัน
แนวคิดเกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ในการนําหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลต่อการพัฒนานั้น ต้องเข้าใจ “กรอบ แนวคิด” หรือ “หลักแนวคิด”ว่าเป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดํารงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลาและเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤต เพื่อความมั่นคงและ ความยั่งยืนของการพัฒนา (กขกร ชํานาญกิตติชัยและคณะ, 2554 : 9-10)
การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและ ความไม่ประมาท โดยคํานึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวตลอดจนใช้ ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบกับการวางแผน การตัดสินใจและการกระทํา ซึ่งมีหลัก เพิจารณาอยู่ 5 ส่วน ดังนี้ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง, 2549 : 13-17)
1. กรอบแนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดํารงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลาและเป็นการมอง โลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อความมั่นคงและ ความยั่งยืนของการพัฒนา
2. คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมอง โลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤติเพื่อความมั่นคงและ ความยั่งยืนของการพัฒนา
3. คํานิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะพร้อม ๆ กันดังนี้
3.1 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่ เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
3.2 ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้นจะต้อง เป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคํานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจาก การกระทํานั้น ๆ อย่างรอบคอบ
3.3 การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ การ เปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคํานึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ในอนาคตอันใกล้และไกล
3.4 เงื่อนไข การตัดสินใจและการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัย ทั้งความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ
3.4.1 เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนําความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
3.4.2 เงื่อนไขคุณธรรมที่จะเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มี ความซื่อสัตย์สุจริต มีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดําเนินชีวิต ไม่โลภ และไม่ตระหนี้
3.5 แนวทางปฏิบัติ/ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการนําปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา ประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี
ซึ่งสอดคล้องกับที่ ประจักษ์ บุญอารี (2550 : 38-50) ได้อธิบายองค์ประกอบปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดชฯ ว่ามีลักษณะดังนี้
1. ความพอประมาณ ได้แก่ ความพอดี ความพอประมาณ ได้ตุลยภาพความพอดีคือ จุดที่คุณภาพ ชีวิตกับความพึงพอใจมาบรรจบกัน เป็นการได้รับความพึงพอใจด้วยการตอบสนองความต้องการของ คุณภาพชีวิต ตัวกําหนดมิติทางเศรษฐศาสตร์ คือ มัตตัญญตา คือความเป็นผู้รู้จักประมาณ รู้จักพอดีใน การบริโภค ไม่บริโภคสรรพสิ่งตามเพลิงกิเลสหรือตัณหาไม่ตกเป็นธาตุวัตถุนิยม และบริโภคนิยม ด้วย ความโลภและเห็นแก่ตัวจนเกินไป จําเป็นจะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของเพื่อนร่วมโลกและสังคมด้วย ทุก ฝ่ายที่จะเกิดความสมานฉันท์ และสงบสุขเศรษฐศาสตร์ที่เน้น ยิ่งมากยิ่งดี จะต้องเปลี่ยนมาเป็นเศรษฐกิจ พอเพียง มิฉะนั้นแล้วจะนําไปสู่การแก่งแย่งชิงดี แข่งขันกันอย่างดุเดือด รุนแรง นําไปสู่สงคราม หลัก ความพอประมาณอาจพิจารณาได้หลายมิติดังนี้
1.1 ความพอประมาณตนทางกาย คือ การบริโภคพอประมาณ รู้จักใช้จ่ายทรัพย์ไม่ฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายด้วยปัญญาเหมาะสมแก่ฐานะรายได้ ในขณะเดียวกันก็รักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอด้วย การออก กําลังกาย การกินดื่มพอประมาณแก่ความต้องการของร่างกาย เมื่อมีฐานะดีก็ไม่ดูถูกเหยียดหยาม ผู้ด้อยโอกาส
1.3 พอประมาณทางใจ คือ การเก็บสิ่งต่าง ๆ ไปคิดไตร่ตรองด้วยสติปัญญา ไม่นําสิ่งที่เป็น ปัญหาว้าวุ่นมาคิดไม่สบายใจ คิดแต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
1.4 พอประมาณในการเรียนรู้ โลกยุคใหม่เป็นโลกแห่งการเรียนรู้ ทุกคนสามารถ เรียนรู้ได้ทุก หนทุกแห่งตลอดเวลาเราจําเป็นต้องเรียนรู้เพื่อสามารถประกอบสัมมาอาชีพ ให้มีรายได้เลี้ยงตนเองและ ครอบครัวได้อย่างเพียงพอ
1.5 พอประมาณในด้านเทคโนโลยี ในการนําเทคโนโลยีมาใช้ในการดํารงชีวิตและประกอบ กิจกรรมต้องคํานึงถึงความเหมาะสม ไม่มีราคาแพงแต่ถูกหลักวิชา มีขนาดพอเหมาะกับการผลิตและ ความสามารถในการบริหาร
1.6 พอประมาณในการลงทุนและผลิต ได้แก่ การพิจารณาลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย ควร คํานึงถึงความพอประมาณกับกําลังสติปัญญาที่จะบริหารจัดการ ไม่โลภไม่เน้นกําไรในระยะสั้นเป็นหลัก ซื่อสัตย์สุจริตในการประกอบการ ไม่เอารัดเอาเปรียบลูกจ้างแรงงานและผู้บริโภคเน้นการตอบสนอง ภายในท้องถิ่นแล้วค่อยขยายสู่ภูมิภาค
1.7 พอประมาณในการบริโภค การบริโภคแต่เพียงพอสมกับรายใต้การบริโภค สรรพสิ่ง ทั้งหลายด้วยปัญญา
1.8 พอประมาณในการประหยัดต้องรู้จักวางแผนในการใช้จ่าย ไม่ก่อหนี้สินล้นพ้นตัว ใน ขณะเดียวกันก็มีส่วนที่เก็บออม
1.9 พอประมาณในการมีความสุข ความสุขที่มนุษย์ส่วนใหญ่กําลังเดินอยู่คือ กามสุข อันเกิด จากกิเลสกาม คือ โลภ โกรธ หลง และวัตถุกามอันได้แก่ คนสัตว์สิ่งของรวมเรียกว่ากามคุณ 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งคนส่วนใหญ่หลงใหลอยู่ แต่ในพุทธองค์ให้เลือกทางสายกลาง ไม่มัวเมาหลงใหลได้ ปลื้มกับกามสุขจนเกินไป
1.10 พอประมาณในการเสียสละเพื่อสังคม เมื่อเราสามารถพึ่งตนเองได้ควรมีธรรมประจําใจ คือ พรหมวิหาร 4 อย่างคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่นและสังคม
เชื่อสนิทว่ากลับเป็นของเปล่าเป็นของเห็จไปก็มี แต่สิ่งที่เชื่อไม่ได้กลับเป็นของจริงแท้ไม่เป็นอื่นเลยก็มี สิ่งสําคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ การรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกันของบุคคลหลายฝ่าย โดยเฉพาะเหตุผลซึ่งมีฐาน จากการวิจัย ณ ห้วงเวลาหนึ่ง สิ่งแวดล้อมหนึ่ง ๆ ย่อมมีตัวแปรแทรกมากมายจึงควรรับฟังด้วยเหตุผล อย่างรอบคอบ
3. มีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หากเปรียบระบบเศรษฐกิจของประเทศกับร่างกาย มนุษย์ ซึ่ง ระบบต่างๆของร่างกายทํางานร่วมกันผสมกลมกลืน และทุกระบบต้องปกติจึงจะทําให้ ร่างกายแข็งแรงอยู่ ดีมีสุข หากระบบใดระบบหนึ่งอ่อนแอ สูญเสีย บกพร่องไปก็จะทําให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วย ยิ่งถ้า ภูมิคุ้มกันบกพร่องด้วย HIV ด้วยแล้วยิ่งไม่มีทางเยียวยาได้เลย ในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นอกจาก ความพอประมาณความมีเหตุมีผลแล้ว จําเป็นจะต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีพอจึง จะทําให้ระบบเศรษฐกิจของ ชาติโต้กระแสทุนนิยมโลกาภิวัตน์อันเชี่ยวกราก การมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึง “การจัดองค์ประกอบของ การดําเนินงานให้มีสภาพพร้อมต่อผลกระทบใด ๆ อันเกิดขึ้นจาก การเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ได้อย่างดี” สรุปองค์ประกอบของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงประกอบด้วยคุณลักษณะ 3 ประการ ดังนี้
1) ความพอประมาณหมายถึง ความพอดีต่อความจําเป็นของฐานะของตนเอง สังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งวัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่น ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไปและต้องไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น
2) ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจดําเนินการเรื่องต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลตามหลัก วิชาการ หลักกฎหมาย หลักศีลธรรมจริยธรรมและวัฒนธรรมที่ดีงาม เกี่ยวกับระดับความพอใจนั้น จะต้อง เป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคํานึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการ กระทํานั้น ๆ อย่างรอบคอบ
การตัดสินใจและเงื่อนไขการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับความพอเพียงนั้น ต้อง อาศัยความรู้ และคุณธรรมบนพื้นฐาน คือ
1) เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วยความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนําความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยง เพื่อประกอบการวางแผนและความ ระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
2) เงื่อนไขคุณธรรมที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วยมีความตระหนักในคุณธรรม ความ ซื่อสัตย์สุจริตมีความอดทน มีความเพียรใช้สติปัญญาในการดําเนินชีวิตไม่โลภและไม่ตระหนี่ มีหลักเหตุผล ในการตัดสินใจและความพอดีเกิดเป็นภูมิคุ้มกันตัวเองที่ดี
ทฤษฎีเกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทาน มานานกว่า ๓๐ ปี ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาขั้นพื้นฐาน ที่ตั้งอยู่บนทางสายกลางและความไม่ประมาทซึ่งคํานึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล การสร้าง ภูมิคุ้มกันในตัวเองตลอดจนการใช้ความรู้และคุณธรรมเพื่อเป็นพื้นฐานในการดําเนินชีวิตซึ่งต้องมี "สติ ปัญญา และความเพียร” เป็นที่ตั้ง ซึ่งจะนําไปสู่ความสุขในชีวิตที่แท้จริงดังพระราชดํารัสที่ว่า
"...การพัฒนาประเทศจําเป็นต้องทําตามลําดับ ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลัก วิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลําดับต่อไป.." (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)
"...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเขย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่ สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกินและขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และ ทํางานตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งปณิธานในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่าง ยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่ พอกินนี้ได้ เราก็จะยิ่งยวดได้..." (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)
“...เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาของเศรษฐกิจ การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซื้อเราต้องใช้ต้องหาเงิน มาสําหรับซื้อน้ํามันสําหรับรถไถ เวลารถไถเก่าเราต้องยิ่งซ่อมแซม แต่เวลาใช้นั้นเราก็ต้องป้อนน้ํามัน ให้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันคายควัน ควันเราสูดเข้าไปแล้วก็ปวดหัว ส่วนควายเวลาเราใช้เราก็ต้องป้อน อาหารต้องให้หญ้าให้อาหารมันกินแต่ว่ามันคายออกมา ที่มันคายออกมาก็เป็นปุ๋ยแล้วก็ใช้ได้สําหรับให้ ที่ดินของเราไม่เสีย..." (๔ พฤษภาคม ๒๕๒๙)
“...เราไม่เป็นประเทศร่ํารวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้า อย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้าจะมีแต่ถอยหลังและถอยหลัง อย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจนแบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอย่างมี สามัคคี นี่แหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป..." (๔ ธันวาคม ๒๕๓๔)
“...ตามปกติคนเราขอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทย เรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกําไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากําลังเสื่อมลงไป ส่วนใหญ่ทฤษฎีว่าถ้ามีเงินเท่านั้น ๆ มีการกู้เท่านั้น ๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วก็ประเทศ ก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอํานาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดีแต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวัง ในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง...” (๔ ธันวาคม ๒๕๓๙)
“...เดี๋ยวนี้ประเทศไทยก็ยังอยู่ดีพอสมควร ใช้คําว่า พอสมควร เพราะเดี๋ยวมีคนเห็นว่ามี คนจน คนเดือดร้อนจํานวนมากพอสมควร แต่ใช้คําว่าพอสมควรนี้ หมายความว่าตามอัตภาพ..." (๔ ธันวาคม ๒๕๓๙)
“...การจะเป็นเสือนั้นไม่สําคัญ สําคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ความพอเพียงนี้ไม่ได้ หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่า ในหมู่บ้านหรือในอําเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความ ต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก....” (๔ ธันวาคม ๒๕๓๙)
"...เมื่อปี ๒๕๓๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และ ประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมากบางคนก็ไม่มีเลย..." (๔ ธันวาคม ๒๕๕๑)
“...พอเพียง มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคําว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการที่มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อยถ้าประเทศใด มีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทําอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ชื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียน คนอื่น..." (๔ ธันวาคม ๒๕๕๓)
“...ไฟตับถ้ามีความจําเป็น หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่เรามีเครื่องปั่นไฟก็ใช้ ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มีตก็จุดเทียน คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงก็มี เป็นขั้นๆ แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เป็นสิ่งทําไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้วแต่ว่า พอเพียงในทฤษฎีในหลวงนี้ คือให้สามารถที่จะดําเนินงานไต้...” (๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒)
“...โครงการต่างๆ หรือเศรษฐกิจที่ใหญ่ ต้องมีความสอดคล้องกันดีที่ไม่ใช่เหมือนทฤษฎี ใหม่ ที่ใช้ที่ดินเพียง ๑๕ ไร่ และสามารถที่จะปลูกข้าวพอกิน กิจการนี้ใหญ่กว่า แต่ก็เป็นเศรษฐกิจ พอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสักก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน เขานึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่เป็นเศรษฐกิจที่ห่างไกลจากเศรษฐกิจพอเพียงแต่ที่จริงแล้ว เป็นเศรษฐกิจ พอเพียงเหมือนกัน…” (๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒)
“...ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทําอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือ ทําจาก รายได้ ๒๐๐ - ๓๐๐ บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคําพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียง ไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทําเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมายไม่ใช่แบบที่ ฉันคิด ที่ฉันคิตคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดูไม่ใช่ ไปจํากัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้ แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัด สูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่อันนี้ก็เกินไป…” (๒๗ มกราคม ๒๕๕๔)
เนื้อหาที่พระราชทานมานี้ ใช้เป็นหลักในทางวิชาการและนําไปปฏิบัติในทุกสาขาวิชา ในวงกว้างจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งนาไปจัดทําแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๔ และ ฉบับที่ ๑๐ เพื่อใช้เป็นกรอบในการพัฒนาประเทศต่อไป
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนับเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตดําเนินไปในทาง สายกลางที่เหมาะสมสอดคล้องกับวิถีความเป็นอยู่อันเรียบง่ายของคนไทยซึ่งสามารถนํามาประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสมกับประชาชนทุกระดับทั้งระดับบุคคลครอบครัวชุมชนองค์กรและระดับประเทศได้โดยมี คุณลักษณะที่สําคัญดังนี้
ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีต่อความจําเป็นและเหมาะสมกับฐานะของ ตนเอง สังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไปและต้องไม่ เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจดําเนินการเรื่องต่างๆอย่างมีเหตุผลตามหลัก วิชาการ หลักกฎหมาย หลักศีลธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมที่ดีงาม คิดถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่าง ถ้วนถี่โดยคํานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทํานั้นๆ อย่างรอบคอบ
ภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง ในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม เพื่อให้สามารถปรับตัวและรับมือได้อย่างทันท่วงที
เงื่อนไขสําคัญเพื่อให้เกิดความพอเพียงการตัดสินใจและดําเนินกิจกรรมต่างๆ ต้องอาศัย ทั้งเงื่อนไขคุณธรรม หลักวิชา และเงื่อนไขชีวิตเป็นพื้นฐาน
เงื่อนไขคุณธรรม เสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติให้มีความซื่อสัตย์สุจริต รู้รัก สามัคคี ไม่โลภ ไม่ตระหนี่ และรู้จักแบ่งปันให้ผู้อื่น
เงื่อนไขหลักวิชา อาศัยความรอบรู้ รอบคอบและระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนําวิชาการ ต่างๆ มาใช้วางแผนและดําเนินการทุกขั้นตอน
เงื่อนไขชีวิต ดําเนินชีวิตด้วยความอดทนมีความเพียรมีสติและปัญญาบริหารจัดการ การใช้ชีวิตโดยใช้หลักวิชาและคุณธรรมเป็นแนวทางพื้นฐาน
ด้านเทคโนโลยี รู้จักใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการและ สภาพแวดล้อมพัฒนาเทคโนโลยีจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
12.3 การบูรณาการหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในหลักสูตรสถานศึกษา
การขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปในการจัดการศึกษานั้นเป้าหมายสําคัญ คือ การทําให้ เด็กรู้จักการพอเพียง ปลูกฝัง อบรม เพื่อทําให้เด็กมีความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และ วัฒนธรรมโดย สอดแทรกแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงบูรณาการให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร สาระการเรียนรู้ต่างๆ (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 : 162) ซึ่งการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบบูรณาการ มีความสอดคล้องกับมาตรา 24 ของ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546 : 12) ดังนี้
1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดย คํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ ความรู้มาใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้จักประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทําได้ คิดเป็น ทําเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
4. จัดการเรียนการสอน โดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุล กันรวมทั้ง ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา
5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สนใจสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนและ อํานวย ความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถทําการวิจัยเป็นส่วน หนึ่งของ กระบวนการเรียนรู้ ทั้งผู้สอนและผู้เรียนเกิดการเรียนอาจเรียนรู้ไม่พร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและ แหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ
6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ มีการประสานความรวมมือกับ บิดามารดา ผู้ปกครอง แลบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมมือกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพกิจกรรม ทั้งหมดนี้คือ ต้อง เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยสถานศึกษาตั้งเป้าหมายให้เกิดการจัดการเรียนรู้ สอนให้เด็ก พึ่งตนเองได้ก่อน จนสามารถเป็นที่พึ่งของผู้อื่นในสังคมได้ต่อไปนอกจากนี้ ผู้บริหาร และครู สามารถนําเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้และบูรณาการในการจัดการศึกษา และจะต้องมี เป้าหมายหลักที่การพัฒนาผู้เรียนเป็นสําคัญ โดยมุ่งให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามแนวปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง
แบบทดสอบ
1.สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้และเผยแพร่เมื่อใด
ก.วันที่ 4
เมษายน พุทธศักราช 2542
ข. วันที่ 28
เมษายน พุทธศักราช 2542
ค.วันที่ 29 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2542
ง. วันที่ 5
ธันวาคม พุทธศักราช 2542
2.หลักการ "3
ห่วง 2 เงื่อนไข" ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ก.
พอเพียง พอประมาณ มีเหตุผล ความรู้ และคุณธรรม
ข. พอประมาณ มีเหตุผล
มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ความรู้ และคุณธรรม
ค. พอเพียง พอประมาณ มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
ความรู้ และคุณธรรม
ง. พอประมาณ ซื่อสัตย์ มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
ความรู้ และคุณธรรม
3.ข้อใดอธิบายถึงเงื่อนไขความรู้ และเงื่อนไขคุณธรรม
ก. มีสติ ปัญญา ขยัน อดทน พากเพียร ระมัดระวัง
และพอประมาณ
ข. มีความรอบรู้ รอบคอม สติ ปัญญา ขยัน อดทน
และพากเพียร
ค. มีความรอบคอบ ระมัดระวัง สติ ปัญญา ขยัน
และมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
ง. มีความซื่อสัตย์ ขยัน อดทน สติ
ปัญญา และมีเหตุผล
4.ข้อใดไม่ใช่ยุทธศาสตร์ในการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่
10
ที่ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทาง
ก.
ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพคนและสังคมไทยสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้
ข.ยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
ค.
ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและยั่งยืน
ง.
ยุทธศาสตร์การส่งเสริมธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการประเทศ
5.หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับประชาชนกลุ่มใดได้บ้าง
ก. ข้าราชการ
ข.
ภาคประชาชน
ค. ภาคเอกชน
ง. ประชาชนทุกกลุ่ม
3. การบูรณาการความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ โดยออกแบบการเรียนรู้ให้มีทั้งการให้ความรู้และกระบวนการไปพร้อม ๆ กัน เช่น กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา และ กระบวนการสร้างความคิดรวบยอดเป็นต้น
4. การบูรณาการความรู้ ความคิด กับคุณธรรม โดยเน้นทั้งพุทธิพิสัยและจิตพิสัยเป็นการเรียนที่สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมไปพร้อม ๆ กัน เพื่อที่นักเรียนจะได้เป็น “ผู้มีความรู้ คู่คุณธรรม ”
5. การบูรณาการความรู้กับการปฏิบัติ เน้นการปฏิบัติจริง ควบคู่ไปพร้อมๆ กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
6. การบูรณาการความรู้ในโรงเรียนกับชีวิตจริงของนักเรียน พยายามให้เด็กได้เรียนรู้เนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้เห็นคุณค่าและความหมายในสิ่งที่เรียน (สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์. 2546: 25)
ด้านเทคโนโลยี รู้จักใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการและ สภาพแวดล้อมพัฒนาเทคโนโลยีจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
อ้างอิง
กลัญญู เพชราภรณ์. (2560). บทที่5 การบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง. สืบค้น 5 กันยายน 2546. จาก http://www.eledu.ssru.ac.th/kalanyoo_pe/mod/resource/view.php?id=49
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น